ย้อนไปปี 2009 ผมได้มีโอกาสเดินทางไปประเทศจอร์แดน เพื่อไปถ่ายทำรายการเรื่อง นครเปตรา (Petra) นครโบราณที่ถูกซ่อนอย่างลึกลับในหุบเขากว่า 2000 ปี คำว่า “นครโบราณที่ถูกซ่อนอย่างลึกลับ” มันชวนให้น่าค้นหายิ่งนัก สำหรับนักเดินทางและนักท่องเที่ยว ก็อยากจะมาให้เห็นด้วยตาสักครั้งในชีวิตเพราะ นครเปตรา เป็น 1 ใน เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ของโลก
จุดเริ่มต้น
เราเดินทางมาที่ประเทศจอร์แดน ใช้เวลาบินประมาณ 8 ชั่วโมง เป็นประเทศในตะวันออกกลาง มีพรมแดนติดกับประเทศซีเรีย , อิรัก , ซาอุดีอาระเบีย และอิสราเอล จอร์แดนเป็นประเทศที่เกือบไม่มีทางออกสู่ทะเล มีชายฝั่งทะเลเดดซีร่วมกับอิสราเอล มีเมืองหลวงชื่อ กรุงอัมมาน
กรุงอัมมาน
เมื่อมาถึงคณะเราเดินทางไปที่ นครเปตรา (Petra) ซึ่งอยู่ห่างอัมมานประมาณ 250 ก.ม. ใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง บรรยากาศสองข้างทางเป็นเต็มไปด้วยทะเลทราย ภูมิประเทศแบบนี้เราไม่คุ้นเคยนัก ทำให้รู้สึกตื่นเต้น อย่างบอกไม่ถูก
เมืองเปตรา (Petra)
เมื่อมาถึงเมืองเปตราซึ่งตั้งอยู่ในทะเลทรายทางตอนใต้ของประเทศ สิ่งแรกที่มองเห็นคือมีแต่ภูเขาใหญ่ๆ ไม่เห็นนครโบราณเลย นักท่องเที่ยวรวมทั้งคณะเรา ต้องเดินเท้าเขาไปตามตรอกเล็กๆระหว่างหุบเขา บางครั้งก็มีรถม้าวิ่งสวนผ่านไปบ้าง มันได้บรรยากาศแบบภาพยนตร์อาหรับจริงๆ ยิ่งเดินเข้าไปบางช่วงทางเดินก็แคบลงบางช่วงก็กว้าง เป็นทางขดเคี้ยวแต่เดินทางสบายๆ สังเกตุดีๆ ข้างๆ ตรงด้านล่างของผาจะมีการขุดเซาะเป็นร่องยาวระหว่างทางเดินเข้าไปนครโบราณ ซึ่งคือระบบชลประทานในยุคนั้น โดยร่องใช้เพื่อส่งน้ำเข้าไปใช้ในนครโบราณ หรือ ยามที่ฝนตกลงมาน้ำก็จะไหลผ่านร่องเข้าไปได้
ทางเข้าไปในนครเปตรา
เราใช้เวลาเดินเท้าประมาณ 20 นาที ก็ต้องมาหยุดที่ช่องเล็กๆ เพราะเบื้องหลังของมันคือ นครโบราณที่ถูกซ่อนในหุบเขากว่า 2000 ปี แค่เห็นผ่านช่องเล็กๆ มันอลังการสมคำร่ำลือจริงๆ
ภาพแห่งความประทับใจ
เมื่อผ่านช่องหุบเขา เราจะพบ นครเปตรา เป็นเมืองที่เจาะสลักเข้าไปในหินเกือบทั้งหมด ข้างในเมื่อผ่านช่องของหุบเขาแล้ว เรียกว่าเป็น นครโบราณได้จริงๆ เพราะมันกว้างใหญ่มาก มีทั้ง วิหาร , หลุมที่ฝังศพ ,โรงละคร , โบสถ์ , ที่อยู่อาศัยของคนในยุคนั้น ภาพที่เห็นเป็นสิ่งก่อสร้างมีที่ความสวยงามละเอียดอ่อน ดูยิ่งใหญ่ สง่างามและอ่อนช้อยจากหน้าผาหินอันแข็งแกร่งใหญ่โตนี้ จนเราคิดว่ามนุษย์ไม่น่าจะสร้างขึ้นได้
ภาพนครเปตรา 360 องศา Cr. AirPano
กลุ่มคนที่สร้างนครเปตราขึ้นมา คือชาวนาบาเทียน (Nabataeans) เป็นเพียงชนเผ่าเร่ร่อนในทะเลทรายอาหรับ คนกลุ่มนี้มีความสามารถสกัดผาหินทรายเป็นบ้านเรือนและอาศัยอยู่ในถ้ำทีมีอยู่ทั่วเมือง จนมาถึงในยุครุ่งเรืองมากๆ เพราะเปตราตั้งอยู่เส้นทางการค้าสำคัญ นอกจากนั้นเมืองนี้ยังมีแหล่งน้ำจืดอีกด้วย มีเรื่องเล่าว่าเป็นน้ำที่ได้เมื่อโมเสสเสกออกมาเพื่อให้ชาวยิวได้กินแก้กระหาย จึงทำให้ทั้งพ่อค้าและนักเดินทางทะเลทรายต้องมุ่งมาที่เมืองเปตราอย่างเดียว จึงเป็นที่มาของความเจริญและมั่งคั่ง
จนในช่วง 50 ปีก่อนคริสตกาล จนถึงคริสต์ศักราชที่ 70 ถือว่า เปตราเจริญถึงขีดสูงสุด ถูกปกครองด้วยกษัตริย์นาม อารีตัสที่ 4 (Aretas IV) ผู้ที่ชาวกรีกยกย่องให้ว่า ฟิโลเดมอส (JOhn remy) ซึ่งแปลว่า ผู้รักประชาชน และด้วยความมั่งคั่ง ความเป็นเมืองที่อยู่ห่างไกล และชัยภูมิอันยากแก่การพิชิต จึงทำให้เมืองมีโอกาสเจริญเติบโตได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องกลัวศัตรูจากภายนอก
ช่วงค.ศ. 106 พวกโรมันได้เข้ายึดครองนครเปตรา ได้สำเร็จเนื่องจากภายในนครเปตราเกิดความอ่อนแอ ด้วยเหตุที่เกิดเมืองใหม่และมีเส้นทางค้าขายใหม่ที่ปลอดภัยและสะดวกกว่า เมื่อการค้าก็เริ่มสูญเสียอำนาจลง จนในคริสต์ศตวรรษที่ 7 แล้วก็เสื่อมถอยมาเรื่อยๆ จนลบเลือนหายไปจากผู้คน เป็นเวลานานถึง 700 ปี ที่ไม่มีใครพบเจอ
จนเมื่อมีนักสำรวจชาวสวิตเซอร์แลนด์ โยฮันน์ ลุควิก บวร์กฮาร์ท (Johann Ludwig Burckhardt) กำลังเดินทางจากจอร์แดนไปอียิปต์เพื่อไปศึกษาถึงแหล่งที่เป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำไนล์ ได้เห็นภาพแกะสลักที่ซ่อนอยู่หุบเขาความอันใหญ่โตของนครเปตรา จึงแอบจดบันทึกไว้ ถือได้ว่าเป็นการเปิดหน้าประวัติศาสตร์สู่สายตาชาวโลก จนมีนักสำรวจต่างๆ ได้เข้าค้นหาและศึกษาต่อจำนวนมาก ได้นำภาพและความรู้ต่างๆ ที่ชาวโลกไม่เคยเห็นมาเปิดเผยให้ได้รับรู้
เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม ค.ศ. 1985 นครเปตราได้รับคัดเลือกให้เป็น 1 ใน เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ของโลก จากการลงคะแนนทั่วโลกทั้งทางอินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือ
การได้เดินทางมาเยือน นครโบราณ เปตรา(Petra) สำหรับผมถือว่าคุ้มค่ากับการเดินทางมาไกล หากใครก็ตามได้มาเห็นกับตาตัวเองก็คงจะคิดแบบผมแน่นอน และไม่แปลกเลยที่นครเปตรา จะได้นิยามว่า “หนึ่งในสิ่งที่ล้ำค่ามากที่สุดของมรดกทางวัฒนธรรมแห่งมวลมนุษยชาติ” (one of the most precious cultural properties of man’s cultural heritage)