สำหรับทริปนี้ เราจะพาไปเที่ยวที่ เมืองนาโกย่า ซึ่งอยู่ตรงกลางของประเทศญี่ปุ่นและเป็นเมืองใหญ่ที่สุดใน ภูมิภาคชูบุ และการเดินทางก็แสนจะสบาย เราสามารถบินตรงจากประเทศไทย ประมาณ 4 ช.ม. 45 นาที สำหรับเมืองนาโกย่า มีประชากรประมาณ 2 ล้านกว่า เป็นเมืองอุตสาหกรรม โดยมีฐานการผลิตรถยนต์, ยานอวกาศ, เครื่องจักร มีพิพิธภัณฑ์เทคโนโลยีโตโยต้าเป็นมรดกทางอุตสาหกรรม และมีอะไรให้น่าเที่ยวมากมาย
การเดินทางจากสนามบิน เข้าเมืองมีหลายวิธีให้เลือก คลิกดูรายละเอียดที่รูปได้เลือกเลย
เมื่อเราเดินทางมาถึงเมืองนาโกย่า หากใครเดินทางตอนกลางคืนจะถึงเช้าประมาณ 8 โมง แนะนำให้จองโรงแรมมาก่อน เพื่อจะได้นำกระเป๋าไปฝากไว้ ล้างหน้าล้างตาให้เรียบร้อย และก็หาแผนที่จากโรงแรมได้เลย ส่วนใหญ่เราจะเตรียมตัวทำวางแผนการเที่ยวมาแล้ว เช่นกันทริปนี้เราตั้งใจจะอยู่นาโกย่า 2 วันเต็มๆ หลังฝากกระเป๋าที่โรงแรม (Richmond Nagoya Nayabashi) 3 คืน แล้วเราก็ลุยเที่ยวเลย
เราเลือกวิธีเข้าเมืองโดย นั่ง แอร์พอร์ตบัส ไปลง Hilton-Nagoya – Richmond Nagoya Nayabashi สะดวกดี
ศาลเจ้าโอสึคันนง
สถานที่แรกเราเดินทางมาที่ ศาลเจ้าโอสึคันนงเป็น 1 ใน 3 ของศาลเจ้าบูชาเจ้าแม่กวนอิมที่ใหญ่ที่สุดใน ญี่ปุ่น เป็นวัดประจำตระกูลโอดะ เวลาเช้าๆ ประมาณ 9 โมง มีคนน้อยเราเลยเที่ยวสบาย คนญี่ปุ่นหากได้มาสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เมื่อจุดธูปปักลงไปในกระถ่างแล้ว พยายามจะคว้าควันบนอากาศด้วยมือเข้าหาตัวเอง เพราะ มีความเชื่อว่า “ถ้านำควันที่ออกจากธูปมาแปะบริเวณที่เจ็บป่วยบนร่างกายแล้ว จะอาการดีขึ้นและช่วยให้ร่างกายแข็งแรง” ซึ่งยังคงสืบทอดกันเรื่อยมา ติดกับศาลเจ้าโอสึคันนง มีแหล่งช้อปปิ้งด้วย
แหล่งช้อปปิ้งย่านโอสึ (OSU)
ย่านช้อปปิ้ง Osu เป็นแหล่งช้อปปิ้งขนาดใหญ่และเป็นที่นิยมที่มีกว่า 1,200 ร้านค้าและร้านอาหาร ทุกชนิดของร้านค้ารวมทั้งร้านค้าเครื่องใช้ไฟฟ้า, ร้านขายเสื้อผ้ามือสองร้านอาหารและคาเฟ่ที่เปิดอยู่ แนะนำให้ไปช่วง 11 โมงเป็นต้นไป บริเวณทางเข้าเจอร้านที่มีทางเข้าเล็กมาก ใครจะเข้าไปต้องมุดเท่านั้น ยกเว้นเด็กๆ ร้านนี้ก็คือ Alice in the Wonderland ดินแดนมหัศจรรย์
ภายในเป็นร้านที่ขายของเก๋ๆ กุ๊กกิ๊ก น่ารัก ตะมุตะมิ สไตล์คนญี่ปุ่น รับรองสาวๆที่เข้าไปแล้วสาวๆ ทุกคนจะต้องถูกอกถูกใจกันแน่นอน ภายในร้านถูกแบ่งออกเป็นโซนต่างๆ มีตั้งแต่เครื่องประดับน่ารักๆ ไปถึงน้ำหอม และขนมของฝากแบบเก๋ๆ ใครที่ผ่านย่านช้อปปิ้งโอสึ (Osu) แนะนำเลยโดยเฉพาะสาวๆ แบบเรา
การเดินทาง — ศาลเจ้าโอสึคันนงและแหล่งช้อปปิ้งย่านโอสึ (OSU)
รถไฟใต้ดิน Tsurumai-Line ลงที่สถานี Osu-Kannon ทางออก 2
พิพิธภัณฑ์รถไฟและรถไฟพลังงานแม่เหล็ก
เราเดินทางไปต่อที่พิพิธภัณฑ์รถไฟและรถไฟพลังงานแม่เหล็ก วิธีเดินทาง เรามาขึ้นรถไฟที่สถานีนาโกย่าดูจะง่ายสุด ใช้รถไฟ JR สาย Aonami Line ลงที่สถานี Kinjo-Futo ประมาณ 20 นาที
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ เขาจัดแสดงรถไฟของจริง ย้ำนะว่าของจริง มีประมาณ 39 ขบวนตั้งแต่รถไฟแบบเดิมและรถไฟพลังงานแม่เหล็กดยเน้นรถไฟชิงกันเซ็งสายโทไคโดเป็นหลัก
เขาให้เราสามารถสัมผัสถึงความตื่นเต้นจากการดู, การสัมผัส, การขับ และสามารถเรียนรู้โครงสร้างของรางรถไฟและประวัติศาสตร์การพัฒนารถไฟได้อย่างสนุกสนาน และโปรแกรมจำลองการขับรถไฟเสมือนจริง ที่สำคัญมีที่ให้เราถ่ายรูปมากมาย
พิพิธภัณฑ์รถไฟและรถไฟพลังงานแม่เหล็ก
เวลาเปิดทำการ : 10.00น.-17.30น. (เข้าชมได้ถึง 17.00น. ) Closed ทุกวันอังคาร (หรือวัดถัดไปถ้าวันอังคารตรงกับวันหยุดนักขัตฤกษ์)
ราคา ผู้ใหญ่ 1000 เยน
นักเรียน 500 เยน
เด็กตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป 200 เยน
นาโกย่า ทีวี ทาวเวอร์ และ โอเอซิส 21
ช่วงฤดูหนาวที่ญี่ปุ่นจะค่ำเร็วมากประมาณ 5 โมงแสงอาทิตย์ก็หมดแล้ว เราเดินทางมาเที่ยวที่ นาโกย่า ทีวี ทาวเวอร์ และ โอเอซิส 21 โดยมาที่ขึ้น นาโกย่า ทีวี ทาวเวอร์
สำหรับด้านบนหอคอยในช่วงเดือนธันวาคมที่เราไป จะมี nagoya tv tower illumination คือการฉาย Projection Mapping โดยการสร้างสรรค์ของกลุ่มบริษัทที่มีชื่อเสียงในด้านการจัดแสงสีอย่าง CITY LIGHT FANTASIA by NAKED ฤดูหนาวปีที่เราไปเขาใช้ธีม “ดวงดาว ใต้ทะเล” เมืองที่ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาว ซึ่งแต่ละปีจะแตกต่างกัน เอาจริงๆ ก็สวยดีนะ
สำหรับ โอเอซิส 21 คอมเพล็กซ์มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า “ยานอวกาศน้ำ” เพราะมีหลังคากระจกที่เป็นสัญลักษณ์ลอยอยู่ในอากาศ สร้างขึ้นในซาคาเอะใจกลางเมืองนาโกย่าเมื่อปี 2002 กระจกคือทางเดินที่มีความยาวประมาณ 200 ม. ซึ่งเราสามารถได้เดินเล่นได้ สูงเหนือพื้นดิน 14 ม. ผู้ส่วนใหญ่มาเที่ยวช้อปปิ้ง ทานอาหาร และการประดับไฟยามค่ำคืนก็มีเสน่ห์ไม่แพ้กัน
Opening Hours Spaceship Aqua เปิดตั้งแต่ 10.00น – 21.00น.
ร้านค้า 10.00น. – 21.00น.
ร้านอาหาร 10.00น. – 10.00น.
รถบัสท่องเที่ยวรอบเมืองนาโกย่า
เช้าวันที่ 2 เราซื้อตั๋ว เมกุรุ – รถบัสท่องเที่ยวรอบเมืองนาโกย่า คุ้มมากๆ แนะนำเลย ทั้งนี้สามารถซื้อตั๋ววันได้ สำหรับราคาผู้ใหญ่ก็ 500 เยนสำหรับเด็กก็ 250 เยน (ตั๋วมีจำหน่ายบนรถ เมกูรุ ทุกคัน) รถคันนี้จะพาเราไปส่งทั่วทุกจุดท่องเที่ยวสำคัญ ๆ ของเมืองนาโกย่า
คลิกดูรายละเอียดตารางเดินรถ
หน้าตารถบัสเมกุรุสีเหลืองสดใส บนรถจะมีวีดีโออธิบายสถานที่สำคัญ ๆ ที่รถจะจอดส่งผู้โดยสาร ใครที่ไม่มีรถเช่า แนะนำสะดวกจริงๆ เวลามองหาป้ายสังเกตหน่อย เพราะมันจะแอบ ๆ อยู่กับป้ายรถเมล์ปกติ
พิพิธภัณฑ์เทคโนโลยีโตโยต้าเป็นมรดกอุตสาหกรรม
เรานั่งรถบัสเมกุรุมาลงที่พิพิธภัณฑ์และโรงงานโตโยต้า
Toyota บริษัทรถยนต์ที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก กับการยอมรับจากผู้ใช้งานทั่วโลกอย่างมากมาย แต่จุดเริ่มต้นของบริษัทรถยนต์ที่ยิ่งใหญ่นี้ จะมีมาจากบริษัทที่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมการทอผ้าและผลิตเครื่องทอผ้าอัตโนมัติ ภายในพิพิธภัณฑ์มีการจำลองเรื่องราวในสมัยนั้นให้ชมแบบละเอียดเลย โดยโซนแรก Textile machinery จัดแสดงเครื่องจักรที่ใช้ใน
จนในที่สุดแผนกรถยนต์ ก็ได้ถูกเปิดขึ้นในปี 1933 ภายใต้บริษัท Toyoda Automatic Loom Works, Ltd. เพื่อทำการผลิตรถยนต์ ซึ่งถือเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของบริษัท
โซนต่อมาเป็นการแสดงการประกอบรถยนต์ยุคแรก ต้องทำมือทุกอย่างครับ ตั้งแต่ตัด ดัด กลึง หล่อ กว่าจะออกมาเป็นรถคันนึง ภาพที่เราเห็นนั้นคือผลิตรถยนต์รุ่นแรกมาได้คือ A1 และ G1 ซึ่งถือว่าเป็นรถยนต์ต้นแบบจากผลงานการวิจัยเท่านั้น ไม่ได้ทำมาเพื่อจำหน่ายจริง
โซนที่เหลือคือ การจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับเทคโนโลยียานยนต์ต่างๆ และกระบวนการผลิตรถยนต์แต่ละคัน และ ในปี 1962 เป็นปีที่สำคัญมากๆของทาง Toyota เพราะเป็นปี่ที่สามารถผลิตรถยนต์เป็นคันที่ 1 ล้าน รวมทั้งยังเป็นปีที่ก่อตั้ง Toyota Motor Thailand Co., Ltd. ในประเทศไทย อย่างเป็นทางการอีกด้วย
ข้อมูลจาก http://www.toyota-global.com/company/history_of_toyota/
Opening Hours : 9.30น.-17.00น. (เข้าได้ถึง 16.30น.) ราคาเข้าชม ผู้ใหญ่ 500 เยน ปิดทุกวันจันทร์
ปราสาทนาโกย่า
เราใช้เวลาเดินชมพิพิธภัณฑ์โตโยต้าพอสมควร จากนั้นนั่งรถบัสต่อมายังจุดจอดที่ปราสาทนาโกย่า ถือเป็นเป็นสัญลักษณ์ของนาโกย่า ก่อสร้างโดยโชกุน โทกุงาวะ อิเอะยาสุในปีค.ศ. 1612
มีรูปสลักปลาหัวเสือทองคำ “คินชะจิ” ที่มีชื่อเสียง (เป็นรูปสลักชะจิหุ้มทองเพียงหนึ่งเดียวในญี่ปุ่น)ด้านบนยอดปราสาท เราจะเรียกว่า ปลาคาร์ฟหัวสิงห์ ก็ไม่ผิดเพราะมันมีหน้าตาแบบนั้นและเป็นสัตว์ในตำนานของญี่ปุ่น ปลาคาร์ฟหัวสิงห์นี่มีขนาดสูงถึง 2.7 เมตร และชุบทองคำไว้ 18 K หรือมากถึง 90 กิโลกรัม
ภายในปราสาท โดยตั้งแต่บริเวณชั้น 1 ของปราสาทเป็นต้นไปก็จะเป็นการจัดแสดงข้าวของและเรื่องราวในอดีตของจักรพรรดิที่อาศัยอยู่ และมีการจำลองแรงงานของชาวญี่ปุ่นในอดีต คนงานจะต้องใช้ความอดทนลากก้อนหินที่มีน้ำหนักกว่า 40-120 ตัน มาสร้างปราสาทแห่งนี้
พิพิธภัณท์สัตว์น้ำ และทวีปแอนตาร์ติก Nagoya Port Aquarium Antarctic
จากนั้นเราเดินทางมาที่ ท่าเรือนาโงย่า พิพิธภัณท์สัตว์น้ำ และทวีปแอนตาร์ติก Nagoya Port Aquarium Antarctic วิธีไป จาก Nagoya Station โดยสารรถไฟ JR ไปลงที่สถานี Kanayama Station(3 นาที 170 เยน) แล้วเปลี่ยนไปนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินสาย Meiko Subway Line ไปลงที่ Nagoyako Station(10 นาที 240 เยน) และใช้ทางออกExit 3 เดินต่อประมาณ 5 นาที ก็จะเห็นชิงช้าสวรรค์ใหญ่ๆ แสดงว่าถึงแล้ว
ภายในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำแห่งนี้ประกอบด้วยอาคารเหนือและใต้ โดยอาคารเหนือจะที่มีสัตว์น้ำหลายชนิด เช่น ปลาวาฬเพชฌฆาต, ปลาโลมาปากขวดและปลาวาฬขาว
ตู้ปลาขนาดใหญ่เป็นส่วนหนึ่งของสระน้ำภายนอกอาคารที่ใช้แสดงโชว์ ของฝูงปลาโลมาและปลาวาฬเพชฌฆาตออก้า ความที่เจ้าพวกนี้ฉลาดและซุกซน ชอบมาว่ายมาใกล้ๆ ผนังกระจกและดูเหมือนจะทักทายนักท่องเที่ยว เห็นแล้วน่ารักดี
และก็มาถึงเวลาชมการแสดงโชว์ที่พลาดไม่ได้ คือโชว์เจ้าปลาโลมาและปลาวาฬเพชฌฆาตออก้า โดยมีสระน้ำหลักมีขนาด 60×30 เมตรและลึก 12 เมตร อัฒจรรย์ในร่มจุผู้ชมมากถึง 3,000 คน แถมมีจอ LCD ความคมชัดระดับ 4k เลยที่เดียว
เอาเป็นว่าการได้ชมการแสดงที่สนุกสนานของพวกโลมา สนุก เพลิดเพลิน โดยเฉพาะเด็กๆ จะชอบใจมากๆ ถือเป็นช่วงเวลามหัศจรรย์สำหรับทุกคน แต่ใครจะมาเที่ยวพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำท่าเรือนาโกย่า เตรียมเวลาให้ดีๆ ไม่อย่างนั้นจะพลาดโชว์ดีๆ และบริเวณภายในและรอบๆ ยังมีจุดเที่ยวชมและสถานที่น่าสนใจอื่นๆ อีกมากมาย
ค่าใช้จ่าย: 300 เยน (เข้าชมพิพิธภัณฑ์เท่านั้น)
700 เยน (เข้าชมหอชมวิว Fuji museum และ maritime museum)
2,400 เยน (เข้าชมพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ Fuji museum maritime museum และหอชมวิว)
เวลาเปิด-ปิด:9:30-17:00(เข้าชมก่อน 16:30)
วันปิดทำการ: ทุกวันจันทร์(หากวันจันทร์เป็นวันหยุดราชการจะปิดในวันถัดไป)
Nabana no Sato งานประดับไฟที่ยิ่งใหญ่ในญี่ปุ่น
แนะนำใครที่มาช่วงฤดูหนาว ที่เมืองนาโกย่าห้ามพลาดเด็ดขาด ต้องมาชม ที่ Nabana no Sato งานประดับไฟที่ยิ่งใหญ่ในญี่ปุ่น เขาว่า เป็นใครก็ต้องตะลึงหากได้เห็น ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ เพราะที่นี่คืองานประดับไฟที่ถูกกล่าวถึงว่ายิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น แต่ต้องเดินทางออกมานอกเมืองประมาณ 30 นาที เรานั่งรถไฟจาก สถานี JR Nagoya โดยใช้เส้นทาง JR Kansai Line มาลงที่สถานี Nagashima ใช้เวลาประมาณ 25 นาที จากนั้นต่อรถบัส ใช้เวลาประมาณ 10 นาที
อุโมงค์ทางเดินยาว 200 เมตร
อุโมงค์ทางเดินความยาว 200 เมตร ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี และได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวมากที่สุด เห็นว่าเชื่อว่าทุกคนชอบเพราะไฟเยอะมากๆ
เขาว่า ความสวยงามของไฟประดับที่จะเปลี่ยนธีมการตกแต่งให้แตกต่างออกไปในทุกปี เพื่อให้ทุกครั้งที่มาได้ตื่นตาตื่นใจไปกับสิ่งใหม่ ๆ ที่ถูกจัดขึ้น
นอกจากนั้น หากใครที่อยากเห็นการประดับไฟแบบทั่วๆถึง 360 องศา ก็กระเช้าจานบินยักษ์ เพื่อบริการนักท่องเที่ยวที
อีกโซนที่ได้รับความสนใจมาก คือการประดับไฟบริเวณสวนต้นไม้ ที่ใช้ความชำนาญในการติดตั้งไฟ จนกลายเป็นเหมือนภาพวาดที่สวยงาม เป็นอีกจุดที่นักท่องเที่ยวมายืนเข้าคิดรอถ่ายรูป
นอกจากนั้นบริเวณทางออกมีร้านอาหารเล็กๆ ไว้บริการอีกด้วยนะ แต่เราไม่ได้แวะกิน เอาเป็นว่าเดินทางออกมาจากตัวเมือง นั่งรถหลายต่อถามว่าคุ้มไหม บอกเลยว่าคุ้มจริงๆ ราคาคนละ 2,100 เยน เท่านั้น ฤดูหนาวปิด 22:00 น.
สำหรับใครที่วางแผนมาที่ประเทศญี่ปุ่นด้วยตัวเอง หากไปโตเกียว เกียวโต โอซาก้า มาแล้วอยากแนะนำให้ลองมาเที่ยวเมืองนาโกย่าบ้าง มีอะไรให้เที่ยวเยอะมากมายเลย นี่ยังไม่ได้นำเรื่องของอาหารเมืองนี้มารีวิวนะ ไว้โอกาสหน้าจะมารีวิวใหม่