ชิราคาวาโกะ หนึ่งวันในหมู่บ้านมรดกโลก ที่ประเทศญี่ปุ่น

ชิราคาวาโกะ หมู่บ้านมรดกโลกเป็นอีกหนึ่งจุดหมายของนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาประเทศญี่ปุ่น  เพราะเป็นหมู่บ้านที่มีเอกลักษณ์ยังคงความดั้งเดิม รูปการสร้างบ้าน ของใช้  จากอดีตจนถึงปัจจุบัน ด้วยความที่เป็นหมู่บ้านญี่ปุ่นแท้ดั้งเดิมนั้น ทำให้มีเสน่ห์ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวทั้งใน และต่างประเทศ เป็นจำนวนมาก  จนได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมโดยยูเนสโกเมื่อปี ค.ศ.1995

ในช่วงเดือนธันวาคม เราเริ่มต้นการเดินทางจากสถานีรถไฟเมืองนาโกย่า ไป เมืองทาคายาม่า  ใช้เวลาประมาณ 2.20 นาที ด้วยรถไฟ หรือสามารถเดินทางด้วยรถบัสด่วนพิเศษก็ได้ แล้วแต่สะดวกแบบไหนก็เลือกเลย การใช้เวลาระหว่างรถไฟกับรถบัสห่างกันประมาณ 20 นาที ซึ่งรถไฟเร็วกว่า **แนะนำว่าให้จองล่วงหน้าเพราะนักท่องเที่ยวเยอะมากๆ ไม่งั้นเวลาขึ้นรถไฟอาจต้องยืนตลอด 2 ชม.

เมืองทาคายาม่า

เราเดินทางมาถึงเมืองทาคาย่าม่าประมาณบ่ายสอง อย่างแรกคือเข้าเช็คอินที่ รร.ก่อน เพราะจะได้นำกระเป๋าเดินทางเก็บในห้องพัก แล้วไม่ลืมที่จะหยิบแผนที่ท่องเที่ยวในเมืองทาคายาม่าด้วย เพราะคืนนี้เราจะนอนที่เมืองนี้ 1 คืน พรุ่งนี้เช้าค่อยออกเดินทางต่อไป หมู่บ้านชิราคาวาโกะ จะได้มีเวลาเที่ยวทั้งวัน  เพื่อไม่ให้สียเวลาถึงเวลาเดินสำรวจเมืองทาคายาม่า สำหรับแผนที่เมืองนี้เป็นภาษาไทย อ่านสบายจริงๆ มีเกือบทุกโรงแรม

สามารถดาวน์โหลดแผนที่

เมืองทาคายาม่า 

เมืองทาคายาม่าเป็นเมืองเล็กๆ ไม่ใหญ่มากมีประชากรไม่ถึงหนึ่งแสนคน แต่เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรมดั้งเดิม ที่เกิดจากการอนุรักษ์จากรุ่นสู่รุ่น ซึ่งถือเป็นเมืองที่มีความสงบ มีถนนคนเดินในตอนเย็นๆด้วย ชื่อว่า Sanmachi Dori เมื่อเข้าไปจะเห็นว่าถนนเส้นนี้มีตึกเก่าสองข้างทางที่เรียงรายไปด้วยบ้านเรือนแบบเก่า

บ้านเรือนของถนนสายนี้ ตกแต่งด้วยระแนงไม้สีน้ำตาลสวยงาม ให้ความรู้สึกที่เข้าถึงบรรยากาศเก่าๆ สามารถเดินดูไปได้เรื่อยๆ นักท่องเที่ยวนิยมมาเดินเล่นบนถนนสายนี้ นอกจากนั้น ยังมีร้านกาแฟและมีขนมพื้นเมืองอันเลื่องชื่อของเมืองนี้ให้ได้ชิมตลอดสองข้างทางอีกด้วย

ขนม Senbeidou Handmade Rice Crackers,

ทำจากแป้งข้าวเจ้า แล้วนำมาย่าง ทาด้วยซอสสูตรพิเศษของทางร้าน กลิ่นหอมมาก ที่สำคัญรสชาติอร่อย กรอบ มีรสเค็มๆของน้ำซอส ร้านนี้มีคนต่อคิวเยอะเลย หากใครมาถึงที่นี่อย่าลืมแวะซื้อกินนะ เราเดินจนถึงปลายถนน Sanmachi Dori เราจะพบสะพาน Nakabashi จะเห็นสะพานสีแดงสด ยาวประมาณเกือบ 30 เมตร  หากมาช่วงเดือนเมษายนฤดูใบไม้ผลิ ยามซากุระบานมันจะสวยมากๆ แต่เรามาช่วงฤดูหนาว ก็สวยไปอีกแบบเพราะ มีหิมะตกมานิดๆ

เวลาช่างผ่านไปเร็วจริงๆ เพราะในช่วงฤดูหนาวจะค่ำเร็ว ทำให้เราต้องกลับที่พัก เพื่อทำการจองรถบัสไปเที่ยวหมู่บ้านชิราคาวาโกะในวันต่อไป ซึ่งไม่แนะนำให้ทำตามนะ ควรจองแต่เนินๆ แต่เราไม่มีเวลาเตรียมมากเท่าไร  วิธีการเดินทางไป หมูบ้านชิราคาวาโกะ มีหลายวิธี การเดินทางที่สะดวกที่สุดคือสามารถนั่งรถบัสสาธารณะ Nohi Bus จากเมือง Takayama มาได้ในราคา 2,470 เยน ไปกลับ 4,420 ตั้งแต่ช่วงเวลา 7.50-17.00 น. สามารถดูเวลาตารางการเดินทางได้ที่นี่

หรือ จะซื้อบริการทัวร์พร้อมมีไกด์บรรยาย (ENG) ระหว่างทางซึ่งเป็นรถบัสเหมือนกันแต่ เขาจะจอดจุดที่สำคัญๆ และบอกรายละเอียดตลอดทาง ไปรวมๆกับนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ซึ่งเราใช้บริการนี้ เพราะกลัวหลงและกลัวเสียเวลา โดยเราเลือกบริการทัวร์ 1 day trip จาก เวป iSite ราคาประมาณคนละ 4400 เยนโดยจะให้เลือก 2 ช่วงเวลาคือ เช้าและบ่าย ก็สะดวกดี เที่ยวประมาณ 4 ชม. หรือใครมีเวลาจะเที่ยวทั้งวันก็ได้

รถออกเดินทางประมาณ 8.00 โมง เรามาขึ้นรถตามแผนที่นัดหมาย  รถบัสมุ่งหน้าไปที่หมู่บ้านชิราคาวาโกะ ซึ่งระหว่างการเดินทางไกด์จะบรรยายประวัติความเป็นมาของหมู่บ้านชิราคาวาโกะให้นักท่องเที่ยวฟัง เพื่อประดับความรู้ การเดินทางใช้เวลาประมาณ 1 ชม. เมื่อเริ่มเข้าใกล้หมู่บ้านชิราคาวาโกะ บรรยากาศสองข้างทางเต็มไปด้วยวิวภูเขาสีขาวปกคลุมไปด้วยหิมะอย่างที่เห็น

 จุดแรกที่รถมาจอดคือจุดชมวิวของหมู่บ้านชิราคาวาโกะ บอกตรงๆเลยว่าประทับใจมากๆ เห็นแต่ในรูปว่าสวยแล้ว มาเห็นด้วยตาตัวเองเกินบรรยายจริงๆ สมแล้วที่ได้ที่ใครๆ ก็อยากชมความงามของหมู่บ้านนี้ รถจอดให้เราได้ใช้เวลาถ่ายรูปเล่นประมาณ 30 นาที เราก็รีบลงไปถ่าย สู้กับอากาศที่หนาวเย็นในช่วงเดือนธันวาคม ประมาณ 5 องศา

จากนั้นเราต้องโบกมือลาจากจุดชมวิว เพื่อไปต่อยังบริเวณทางเข้าหมู่บ้าน แม้ว่าทุกคนยังอยากจะมีเวลาดื่มด่ำกับบรรยากาศแบบนี้ให้นานๆ รู้แบบนี้ไม่น่าจองทัวร์เลย (ในใจแอบนึกแต่ก็นะไว้มาใหม่ก็ได้) รถบัสมาถึงบริเวณทางเข้าหมู่บ้าน ไกด์ก็แจกแผ่นที่ภายในหมู่บ้านชิราคาวาโกะให้เรา ว่าจุดไหนมีอะไรน่าสนใจบ้าง จุดไหนเข้าไปชมได้ และ ไม่ควรพลาดอะไร ที่สำคัญเขามีภาษาไทยด้วย (ก็สะดวกดีตรงนี้แหล่ะ) จากไหนใครจะไปไหนก็ตามอัธยาศัย

เราเริ่มต้นด้วยการข้ามสะพานยาวที่เชื่อมไปยังหมู่บ้านที่แสนจะโรแมนติก จนอดขอถ่ายรูปเก็บไว้หน่อย ซึ่งคนเยอะมากๆ

หมู่บ้านชิราคาวาโกะ อยู่บนภูเขาในพื้นที่ค่อนข้างห่างไกล บนที่ราบสูงฮิดะ  หมู่บ้านอยู่ท่ามกลางหุบเขา และในฤดูใบไม้ผลิ ธรรมชาติของใบไม้ที่ผลิใบสีเขียวสดใส ในฤดูใบไม้ร่วง เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแดง และในฤดูหนาวที่หมู่บ้านถูกปกคลุมไปด้วยสีขาวหมดจดของหิมะ หมู่บ้านมีความเป็นมาและคงความเป็นอยู่แบบดั้งเดิม ลักษณะของบ้านที่สร้างตามแบบเฉพาะนี้ มีหลังคาเป็นสามเหลี่ยมทรงสูงคล้ายลักษณะการพนมมือ โครงสร้างภายในจะเป็นหลายชั้น อาจเป็น 3 หรือ 4 ชั้น มีรายละเอียดพิถีพิถัน และมีลักษณะเฉพาะต่างกันออกไปตามการใช้งาน และแสดงถึงความชาญฉลาดของผู้ปลูกสร้าง และอยู่อาศัย ภายในจะมีผ้าไหมที่รอปูรองไว้เพื่อให้ความอบอุ่นเมื่อยามหน้าหนาวมาเยือน ที่พื้นบ้านในชั้นแรกหลังคาที่มีมุมประมาณ 60 องศา เพื่อให้หิมะไหลได้ง่ายป้องกันการทับถมของหิมะในยามที่หิมะตกหนัก

สาวๆ ญี่ปุ่นเห็นนุ่งสั้นแบบนี้ พวกเธอคงชินกับอากาศหนาวๆ หรือเพราะความอยากสวยจึงทนได้ แต่สำหรับเรามาจากประเทศโซนร้อนคงทนไม่ไหวแน่ๆ  เราเห็นภายนอกของหมู่บ้านแล้ว ขอเข้าไปดูด้านในตัวบ้านว่าจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร

เราเข้าไปดูตัวอย่างบ้านที่ พิพิธภัณฑ์บ้านเลี้ยงไหม Tajima House Museum of Silk Culture ภายในจัดแสดงประวัติความเป็นของหมู่บ้านชิราคาวาโกะ ในสมัยอดีต เนื่องจากภูมิประเทศที่เป็นภูเขา การทำนาข้าวแบบดั้งเดิมจึงไม่ประสบความสำเร็จ  ชาวบ้านจึงมีอาชีพเลี้ยงไหม เกือบทุกบ้าน เพราะเป็นแหล่งซึ่งเคยเป็นอุตสาหกรรมหลัก            ห้องต่างๆ ถูกจัดตกแต่งให้เหมือนในอดีต มีการจัดโซนต่างๆ ตั้งแต่ห้องรับรอง ห้องเลี้ยงตัวไหม มีวิดีโอสาธิตให้ดูด้วย ลักษณะบ้านอย่างที่บอกเป็นทรงสูง มีคานเป็นหลัก เมื่อเข้ามาแล้วจะทำให้รู้สึกโปร่ง สบายๆ

สรุป การได้มาเห็นหมู่บ้านชิราคาวาโกะ หมู่บ้านมรดกโลก หรือจะเรียกว่าหมู่บ้านแห่งความโรแมนติก ก็ไม่แปลก เพราะไม่ว่าจะฤดูไหนผ่านเข้ามา หมูบ้านแห่งนี้ก็จะมีความสวยงามที่แตกต่างกันออกไป ใครที่อยากมาอีกก็จะเลือกฤดูที่ตนไม่ใครมา การที่เราได้มาเห็น ได้มาสัมผัส ทั้งเรื่องราวและวัฒนธรรมของหมูบ้านชิราคาวาโกะ มันคุ้มค่ากับการเดินทางมาเยือนจริงๆ จนเรียกได้ว่า สักครั้งในชีวิตที่คุณต้องมา !