หากมีคนถามว่า เที่ยวในเอเชียมาแล้วจะไปเที่ยวไหนต่อดี ผมบอกเลยว่าต้องเที่ยว อิสตันบูล โคตรคุ้ม !เลย เมืองอิสตันบูล ดินแดน 2 ทวีป จุดที่มีรอยต่อระหว่างเอเชียกับยุโรป นอกจากนั้นที่สำคัญเมืองนี้ ยังมีการผสมผสานสภาปัตยกรรมระหว่างโรมัน (คริสเตียน) กับ ออตโตมัน (อิสลาม) คิดดูสิเมืองนี่มันจะหน้าตาเป็นอย่างไร บอกเลยเที่ยวที่นี่โคตรคุม !!!
สำหรับการเดินทางมาประเทศตรุกี จะเที่ยวเองหรือจะเลือกมาเที่ยวกับบริษัททัวร์ ก็ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของแต่ละคนนะครับ หากใครอยากสะดวกหน่อยก็เลือกเที่ยวแบบซื้อทัวร์ดีกว่าครับ ราคาก็ไม่แพงครับ เริ่มต้น 2 หมื่นปลายๆ จนไปถึง 4 หมื่นกว่าๆ สถานที่ท่องเที่ยวหลักๆ อิสตันบูล คัปปาโดเจีย ปามุคคาเล เป็นต้น อย่างน้อยต้องมี 3 เมืองนี้ถึงจะคุ้มนะครับ
เรามาเริ่มรู้จักกับเมืองอิสตันบูลกันก่อนดีก่อนครับ การเดินทางมาเมืองนี้สามารถบินตรงจากประเทศไทยได้เลย โดยใช้เวลาเดินทางประมาณ 10 ชั่วโมง ก็มาถึงเมืองอิสตันบูล เวลาท้องถิ่นช้ากว่าไทย 4 ชั่วโมงครับ
สำหรับอิสตันบูลเป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน มีสถาปัตยกรรมอันงดงามผสมผสานทั้ง 2 ทวีป (เอเชียกับยุโรป นอกจากนั้นยังถูกปกครองระหว่างยุคโรมัน (คริสเตียน) กับ ยุคออตโตมัน (อิสลาม) เดิมทีเมืองนี้มีชื่อว่า กรุงคอนสแตนติโนเปิล (ยุคจักรวรรดิไบแซนไทน์ ) ต่อมาถูกสุลต่านเมห์เมดที่ 2 แห่งจักรวรรดิออตโตมัน เข้ายึดเมืองได้สำเร็จ จึงเปลี่ยนชื่อเป็น อิสตันบูล แต่ก็มิได้ทำลายสถานที่สำคัญๆลง เพียงแต่สร้างสิ่งต่างๆขึ้นมาเพิ่มเติม ซึ่งทำให้การท่องเที่ยวในปัจจุบัน ได้เห็นสถาปัตยกรรม สถานที่ท่องเที่ยว ที่ดูแตกต่างกันภายในเมืองเดียว จึงเป็นที่มาของคำว่า “โคตรคุ้ม ! ต้องเที่ยว อิสตันบูล ประเทศตรุกี ” เดี๋ยวเราลองมาดูสถานที่เที่ยวต่างว่าหากมาแล้วจะมีอะไรให้เที่ยวบ้าง
วิหารเซนต์โซเฟีย (Saint Sophia , Hagia Sophia)
เริ่มจากจุดกลางเมืองถือเป็นจุดท่องเที่ยวที่สำคัญ เพราะรายล้อมได้ด้วยสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย วิหารเซนต์โซเฟีย เป็นโบสถ์คาทอลิกในยุคสมัยจักรพรรดิจัสติเนียน มีหลังคาเป็นยอดกลมแบบโม เสาในโบสถ์เป็นหินอ่อน
หากเดินเข้าไปในภายวิหาร เราอาจจะแปลกใจเพราะหากใครที่เคยไป วิหารหรือโบสถ์คอทอลิกหรือ คริสเตียน เราจะเห็นพระเยซูคริสต์และสาวก แต่ที่วิหารเซนต์โซเฟีย นอกจากรูปพระเยซูคริสต์และสาวก ยังมีอักษรของศาสนาอิสลาม และ คล้ายๆกรอบประตู (มิห์รอบ ทิศที่มุสลิมทั่วโลกหันไปเวลาละหมาด ) อยู่ภายในวิหารเซนต์โซเฟีย
เหตุเพราะ เมื่อกรุงคอนสแตนติโนเปิลถูกตีแตก โดยสุลต่านเมห์เมตที่ 2 มีคำสั่งให้ปรับเปลี่ยนสถานะของโบสถ์คริสต์เป็นสุเหร่าของชาวมุสลิม และเปลี่ยนชื่อเป็น “สุเหร่าฮาเกีย” โดยให้ฉาบปูนปิดทับภาพโมเสกอันสวยงามอลังการภายในให้หมด แต่ก็มีภาพที่เหลือรอดมาจนถึงปัจจุบันให้เห็นบ้าง นับเป็นวิหารที่มี 2 ศาสนาในอาคารเดียวกัน ที่สำคัญทุกวันนี้คงบรรยากาศของความเก่าขลังอยู่เต็มเปี่ยม
เราสามารถเดินชมความงดงาม ภายในตัววิหารได้ชั้นล่างและชั้นสอง ว่ากันว่า นับเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดของสถาปัตยกรรมไบแซนไทน์และเคยเป็นโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกมานานเกือบพันปี จนได้รับการยกย่องให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง ก่อนจะได้รับคัดเลือกเข้ารอบสุดท้ายให้เป็น 1 ใน 21 สิ่งมหัศจรรย์ยุคใหม่อีกครั้งในปี ค.ศ. 2007
ได้รับคะแนนจากคนที่มาเที่ยว 4.7 / 5 คะแนน
อ่างเก็บน้ำใต้ดิน (Yerebatan Sarnici)
จากวิหารเซนต์โซเฟีย เดินข้ามถนนมานิดเดียว เราจะพบอีกสถานที่ท่องเที่ยว คือ อ่างเก็บน้ำใต้ดิน (Yerebatan Sarnici) ไม่ควรพลาดนะครับ เพราะถือว่าเป็นระบบชลประทานในยุคไบแชนไทน์ ใช้เพื่อกักเก็บน้ำเอาไว้ใช้ในพระราชวัง จากทางเข้าเราต้องเดินลงบันไดจนพบ อ่างเก็บน้ำใต้ดิน เมื่อลงมาแล้วสิ่งแรกที่เห็นคือ เสาคอลัมน์ที่คำยันหลังคาใต้ดินแห่งนี้มีความงดงามอย่างไม่น่าเชื่อ เสาเหล่านี้มีจำนวนถึง 336 ต้น สูงต้นละประมาณ 9 เมตร พื้นที่ด้านล่างมีขนาด กว้าง 65 เมตร ยาว 142 เมตร
ความสวยอยู่ที่เสาเรียงกันแนวยาว และ หากเดินเข้าไปด้านใน เราจะพบต้นเสาที่ไม่ควรพลาดชม ได้แก่ เสาที่มีหัวของเมดูซา กลับหัว เป็นฐาน และอีกเสาหนึ่งหัวเมดูซาตะแคงขวาอยู่ เป็นความเชื่อในสมัยนั้น ว่าเวลาสร้างต้องให้หัวเมซาตะแคง เพื่อไม่ให้เมดูซามอง หากมองใครแล้วจะกลายเป็นหิน ต้องอยู่เฝ้าอ่างเก็บน้ำแห่งนี้ตลอดไป จึงเป็นจุดขายที่นักท่องเที่ยวต้องมาถ่ายรูปกันที่จุดนี้
ได้รับคะแนนจากคนที่มาเที่ยว 4.5 / 5 คะแนน
มัสยิดสีฟ้า (Blue Mosque)
มัสยิดสุลต่านอะห์เมต หรือที่คนส่วนมากเรียกว่า มัสยิดสีฟ้า (Blue Mosque) หลังจากเปลี่ยนการปกครองจากยุคจักรวรรดิไบแซนไทน์ มาเป็นยุคออตโตมัน ต่อมาถึงสมัยของ สุลต่านอะห์เมตที่ 1 ขึ้นครองราชย์เมื่อมีพระชนมายุได้เพียง 14 ชันษา และทรงมีพระประสงค์ที่จะสร้างมัสยิดที่มีความงดงามและยิ่งใหญ่กว่าโบสถ์เซนต์โซเฟีย ของยุคจักรวรรดิไบแซนไทน์ ซึ่งต้องสร้างตรงกันข้ามกันด้วย เพราะก่อนจึงถึงสมัยของพระองค์ มีการสร้างมัสยิดที่มีขนาดใหญ่กว่าวิหารเซนต์โซเฟียมาแทบทุกยุคสมัยแต่ไม่มีใครทำสำเร็จ
มัสยิดแห่งนี้มีลักษณะเกือบเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส คือกว้าง 51 และยาว 53 เมตร ตัวมัสยิดมีหลังคาเป็นรูปโดมซึ่งมีความสูง 43 เมตร และกว้าง 23.5 เมตร ภายในตัวมัสยิดประดับด้วยกระเบื้องสีฟ้าจากเมืองอิซนิก (Iznik) ซึ่งมีความเก่าแก่และมีคุณค่าทางศิลปะเป็นจำนวนถึง 21,000 แผ่น ด้วยสีของกระเบื้องออกเป็นสีโทนฟ้าๆ จึงเป็นที่มาของชื่อ มัสยิดสีฟ้า (Blue Mosque) หากได้มาเห็นของจริงแล้วบอกเลยว่าอลังการมากๆ ครับ
ได้รับคะแนนจากคนที่มาเที่ยว 4.7 / 5 คะแนน
ฮิปโปโดรม (Hippodrome)
อยู่ใกล้ๆ กับมัสยิดสีฟ้า (Blue Mosque) สามารถเดินมาได้สบายๆ ลักษณะเป็นลานกว้างมีแท่งเสาสูง ที่เรียกว่า เสาโอเบลิสก์ เป็นเสาทรงสี่เหลี่ยมยอดแหลมที่มีอายุเก่าแก่ เดิมตั้งอยู่ที่ประเทศอียิปต์ แต่ถูกนำมาไว้ที่นี่ในช่วงยุคจักรวรรดิไบแซนไทน์ เสามีความสูง 20 เมตร ทำจากหินแกรนิต ยอดเสาแกะเป็นภาพฟาโรห์คุกเข่าถวายสักการะแด่สุริเทพ
และยังมีอีก 2 ส่วนคือ ฐานหินอ่อนของเสาโอเบลิสก์ และ เสารูปงู สำหรับในส่วนที่เป็นลานกว้าง เดิมเป็นลานแข่งรถม้าและศูนย์กลางเมืองในยุคไบแชนไทน์ สถานที่ก็มาถ่ายรูปเล่นได้ครับ
ได้รับคะแนนจากคนที่มาเที่ยว 4.7 / 5 คะแนน
พระราชวังทอปกาปี (Topkapi Sarayi หรือ Topkapi Palace)
พระราชวังนี้ซึ่งเป็นอีกหนึ่งในไฮไลท์สำคัญของเมืองอิสตันบูลเลยทีเดียว เพราะ เป็นที่ประทับของสุลต่านนานถึง3 ศตวรรษ สร้างหลังจากพิชิตกรุงคอนสแตนติโนเปิล เมื่อปี ค.ศ. 1478 โดยสุลต่านเมห์เม็ตที่ 2 เป็นงานสถาปัตยกรรมแบบ “ออตโตมันคลาสสิก” ได้รับการตกแต่งอย่างวิจิตรในยุคที่จักรวรรดิออตโตมาน รุ่งเรืองถึงขีดสุด
พระราชวังทอปกาปีเคยเป็นสถานที่ฝึกขุนนางทหารรับใช้ของสุลต่านชาวตุรกี ซึ่งคัดเลือกเด็ก ๆ คริสเตียน(พวกนอกศาสนา)มาสอนให้เป็นเติร์กและนับถือศาสนาอิสลาม ว่ากันว่าในสมัยนั้นภายในพระราชวังนี้จะมีข้าราชบริพารทำงานกันอยู่ประมาณ 5 พันคน
วันเวลาผ่านไปจนในปี ค.ศ. 1924 พระราชวังทอปกาปี กลายเป็นพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ แบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ พระราชวังชั้นนอก, พระราชวังชั้นใน และฮาเร็ม หากจะมาเที่ยวที่นี่ควรเผื่อเวลาสัก 2 ช.ม. เป็นอยากน้อยเพราะภายในกว้างมาก มีห้องต่างๆให้ชมมากมาย
ได้รับคะแนนจากคนที่มาเที่ยว 4.6 / 5 คะแนน
ล่องเรือช่องแคบบอสฟอรัส Cruise Along the Bosphorus
การมาเยือนที่เมืองอิสตันบูลหากไม่ได้ล่องเรือช่องแคบบอสฟอรัส ก็เหมือนมาไม่ถึง เพราะคำว่าเมืองนี้เป็นรอยต่อ 2 ทวีป ก็เกิดจากช่องแคบบอสฟอรัสแห่งนี้ เพราะช่องแคบมีเส้นแบ่งระหว่างยุโรปและเอเชีย และเชื่อมระหว่างทะเลมาร์มาราและทะเลดำ มีความยาว 32 กิโลเมตร ในอดีตการเดินทางจากฝั่งเอเชียมาสู่ฝั่งยุโรปต้องใช้เรือเท่านั้น
จนในปีค.ศ. 1973 มีการสร้าง สะพานบอสฟอรัสเป็นสะพานแขวนเชื่อมระหว่าง 2 ทวีปเข้าด้วยกัน ทำให้การคมนาคมเดินทางสะดวกมากขึ้น ดังนั้นหากมาที่เมืองอิสตันบูล จึงไม่ควรพลาดที่จะมาล่องเรือ มีทั้งแบบเรือโดยสารที่จอดตามท่าต่างๆ และแบบเหมาลำ และบรรยากาศระหว่างการล่องเรือ ยังได้เห็นสิ่งก่อสร้างสวยๆ อีกมากมาย
ได้รับคะแนนจากคนที่มาเที่ยว 4.4 / 5 คะแนน
ตลาดเก่าแก่อายุกว่า พันปี ตลาดแกรนด์บาซ่าร์ (Grand Bazaar)
นอกจากสถานที่ท่องเที่ยวทางสถาปัตยกรรมแล้ว สิ่งหนึ่งที่ไม่ควรพลาดคือ ตลาดแกรนด์บาซาร์ เมืองอิสตันบูลเป็นตลาดที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศตุรกี มีความเป็นมายาวนานกว่า 1,000 ปี ซึ่งสร้างตั้งแต่ปี ค.ศ. 1453
มีเนื้อที่ทั้งหมดเกือบ ๆ 200 ไร่ มีร้านค้าขายของต่าง ๆ มากถึง 5,000 ร้านค้า มีทางเข้ามากกว่า 21 ทาง แบ่งออกเป็นโซนตามประเภทสินค้าชัดเจน สินค้าหลักๆ ที่ขายในนี้คือ เครื่องเงิน พรม สิ่งทอ เสื้อผ้า วัตถุโบราณ ทองคำ และของที่ระลึก เรียกว่าบรรดาขาช็อปอาจเดินแบบเพลิดเพลินจนลืมเวลาก็ได้นะ
ได้รับคะแนนจากคนที่มาเที่ยว 4.4 / 5 คะแนน
นี่เป็นเพียงสถานที่ท่องเที่ยวส่วนหนึ่งเองนะครับ ในอิสตันบูลยังมีอีกมากมาย เอาเป็นว่า โคตรคุ้ม ! เลย เป็นดินแดน 2 ทวีป จุดที่มีรอยต่อระหว่างเอเชียกับยุโรป รอบหน้าผมจะมาเขียนบันทึกการเดินทางถึงการเดินทางไปเมือง คัปปาโดเจีย อยู่ในประเทศตุรกี เป็นสุดยอดสิ่งมหัศจรรย์ที่ธรรมชาติสร้างขึ้น